Agape Coffee (อากาเป คอฟฟี่): อีกหนึ่งร้านกาแฟที่ดีที่สุดในเชียงรายที่ต้องไปลองให้ได้

ฟังเนื้อหา
Getting your Trinity Audio player ready...

เชียงราย… จังหวัดเหนือสุดแดนสยามที่ใครหลายคนมักนึกถึงภาพภูเขาสูง ทะเลหมอก และวัดวาอารามที่วิจิตรตระการตา แต่สำหรับคอกาแฟตัวจริงแล้ว เชียงรายคือสวรรค์บนดิน เพราะที่นี่คือแหล่งปลูกกาแฟชั้นดีระดับประเทศ

วันนี้เราไม่ได้จะพาไปชิมกาแฟบนยอดดอยสูง แต่จะพาซอกแซกเข้าตัวเมืองเชียงราย ไปเยือนร้านกาแฟร้านหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่กลับส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งซอย ร้านที่ว่านี้มีชื่อว่า “Agape Coffee” (อากาเป คอฟฟี่) ครับ

คุณอาจจะพอสังเกตุได้ว่าหากค้นหาข้อมูลร้านกาแฟในเชียงรายผ่านทาง Google Maps ชื่อของ Agape Coffee ก็เด้งขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ด้วยคะแนนรีวิวที่สูงลิ่วและจำนวนคนที่เข้ามาพูดถึงอย่างมากมาย ร้านนี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ เป็นเวลา 8 ปีแล้วที่ผมได้เข้าไปกินกาแฟร้านนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส

กาแฟอากาเป Agape Coffee ขณะนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 สาขา ได้แต่สาขาแรกที่ประตูเชียงใหม่, กาแฟอากาเป Agape Coffee (สาขาสนามกีฬากลาง), Agape Coffee (สาขาท่าสาย), Agape Coffee (อากาเป)สาขาบ้านดู่

วันนี้เราจะเน้นไปที่สาขาแรกที่ประตูเชียงใหม่ซึ่งเปิดมา ถ้าจำไม่ผิดตอนที่เปิดใหม่ๆเหมือนจะใช้ชื่อ เบเชกู่ คอฟฟี่ ซึ่งเป็นอีกร้านหนึ่งที่สร้างชื่อเป็นกาแฟอันดับต้นๆของเชียงรายซึ่งก็มีเจ้าของคนเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน

ความน่าสนใจของสาขานี้มันเริ่มตรงที่หลายคนบอกว่าร้านนี้หาที่จอดรถยากนิดนึงนะ แต่คุ้มค่าที่จะมา ประโยคนี้แหละที่เป็นเหมือนคำท้าทายให้ต้องลองไปพิสูจน์ดูสักครั้งว่ากาแฟแก้วหนึ่งมันจะคุ้มค่ากับการวนหาที่จอดรถริมถนนจริงหรือเปล่า 55

การเดินทางและบรรยากาศแรกพบ

ร้าน Agape Coffee ตั้งอยู่บนถนนราชโยธา ไม่ไกลจากแยกประตูเชียงใหม่มากนัก ถ้าคุณขับรถมาเอง แนะนำให้สังเกตดีๆ เพราะหน้าร้านไม่ได้ดูเอะอะโวยวาย หรือมีป้ายไฟนีออนกระพริบเรียกร้องความสนใจเหมือนร้านสมัยใหม่ เอาจริงๆดูจะเป็นร้านเล็กๆข้างทางที่ไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย ถ้าไม่ได้สังเกตุหรือตั้งใจมองหาป้ายร้านก็อาจจะเลยมันไปได้ง่ายๆ

หน้าร้านอาจจะดูเล็กๆ มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงรายอยู่บ้าง จนอาจจะทำให้คนขับรถยนต์รู้สึกใจแป้วเรื่องที่จอดรถ แต่เอาเข้าจริง การจอดแปะริมถนนแถวนั้นก็ไม่ได้ลำบากจนเกินไปนัก (ถ้าไม่ใช่ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนจริงๆ) หรือจะจอดฝั่งตรงข้ามแล้วเดินข้ามมาก็ได้ครับ ถือว่าได้เดินยืดเส้นยืดสายก่อนดื่มกาแฟ

เมื่อผลักประตูไม้เข้าไป สิ่งแรกที่ปะทะความรู้สึกไม่ใช่ความเย็นฉ่ำของแอร์เพียงอย่างเดียว แต่เป็น “กลิ่น” ครับ กลิ่นหอมของกาแฟคั่วบดใหม่ๆ ที่ลอยฟุ้งไปทั่วร้าน มันเป็นกลิ่นที่บอกได้ทันทีว่าที่นี่เขาจริงจังเรื่องกาแฟ ไม่ใช่แค่คาเฟ่ที่ขายบรรยากาศสวยๆ ไว้ถ่ายรูปเพียงอย่างเดียว

บรรยากาศภายในร้านให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด การตกแต่งเน้นงานไม้สีน้ำตาลเข้ม ตัดกับต้นไม้สีเขียวที่แทรกตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ให้ความรู้สึก “Cozy” หรือสบายใจเหมือนได้กลับมานั่งเล่นบ้านเพื่อนสนิท

สิ่งที่น่าสังเกตและเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจคือ ร้าน Agape Coffee นี้มีเจ้าของเดียวกันกับร้าน Bechegu Coffee (เบเชกู่) ร้านกาแฟชื่อดังอีกแห่งหนึ่ง ดังนั้นถ้าใครเคยไปเบเชกู่มาแล้ว เดินเข้ามาที่นี่อาจจะรู้สึกคุ้นตาในเรื่องการจัดวาง

การเลือกใช้โทนสี และบรรยากาศโดยรวมที่ดูเป็นกันเอง สบายๆ ไม่ต้องประดิษฐ์ประดอยอะไรมากนัก การรีโนเวทจากเดิมที่เป็นร้านเบเชกู่มาเป็นอากาเป ทำให้พื้นที่ใช้สอยดูกว้างขวางขึ้น โปร่งโล่งขึ้น รองรับลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะมาคนเดียวเพื่อหามุมสงบทำงาน หรือมากันเป็นกลุ่มเพื่อนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

โซนที่นั่งแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือโซนห้องแอร์ด้านในที่ต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า (อันนี้ต้องเตรียมถุงเท้าสะอาดๆ มาหน่อยนะครับ ถ้าไม่อยากเขิน) ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าห้องรับแขกบ้านคนจริงๆ พื้นสะอาดสะอ้าน นั่งแล้วรู้สึกผ่อนคลาย

ส่วนอีกโซนคือกึ่งเอ้าท์ดอร์ด้านนอก ที่แม้จะไม่มีแอร์แต่ก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ มีเสียงน้ำตกจำลองไหลรินเบาๆ ช่วยสร้างความสุนทรีย์ในการดื่มกาแฟได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะโต๊ะเก้าอี้ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเตี้ยๆหน่อย

ที่นั่งแบบนี้จึงเหมาะกับสรีระคนไทย นั่งจิบกาแฟสบายๆ แต่อาจจะขัดใจชาวต่างชาติหรือคนตัวสูงขายาวบ้างนิดหน่อย แต่นั่นก็ถือเป็นเสน่ห์แบบบ้านๆ ที่หาไม่ได้ในร้านกาแฟเชนใหญ่ๆ ซึ่งทุกครั้งที่เข้าไปก็จะพบว่ามีชาวต่างชาติกำลังเพลิดเพลินกับรสชาติกาแฟและบรรยากาศในร้านหลายคน ก็ไม่รู้ว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรกับที่นั่งแบบนี้

รสชาติแห่งความใส่ใจ: กาแฟที่คัดสรรมาอย่างดี

มาถึงเรื่องสำคัญที่สุดนั่นคือ “รสชาติ” ครับ ต้องบอกว่า Agape Coffee ไม่ได้ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย ที่นี่เขามีดีกรีเป็นถึงแชมป์ Roaster และได้รับรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย กาแฟที่เสิร์ฟในร้านล้วนผ่านการคัดสรรเมล็ดมาอย่างดี โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟไทยจากแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงอย่าง “ดอยช้าง” และ “ปางขอน” ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวเชียงราย

จุดเด่นที่ทำให้ผมประทับใจคือความ “ใส่ใจ” ของบาริสต้า ทันทีที่คุณเดินไปสั่งเครื่องดื่ม พนักงานจะไม่ได้แค่ถามว่าเอาอะไร แต่จะลงลึกไปถึงความชอบส่วนตัวของคุณด้วย เช่น ถ้าสั่งอเมริกาโน่เย็น เขาจะถามต่อทันทีว่า “รับคั่วอ่อน คั่วกลาง หรือคั่วเข้มดีครับ?”

คำถามง่ายๆ แค่นี้แหละครับที่บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ เพราะลูกค้าแต่ละคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน บางคนชอบเปรี้ยวสดชื่นแบบผลไม้ บางคนชอบขมเข้มหนักแน่น การมีตัวเลือกให้แบบนี้ถือว่าได้ใจไปเต็มๆ

ผมได้ลองสั่ง ลาเต้ร้อน มาชิมดู โดยเลือกเป็นเมล็ดคั่วกลาง สิ่งที่ได้มาคือลาเต้ที่มีลวดลาย Latte Art สวยงาม ฟองนมนุ่มละเอียด รสชาตินุ่มนวล กลมกล่อม มีความหวานธรรมชาติของนมผสมผสานกับความหอมของกาแฟได้อย่างลงตัว ไม่ต้องเติมน้ำตาลเลยแม้แต่นิดเดียว

กลิ่นหอมของกาแฟยังคงอบอวลอยู่ในปากหลังจากกลืนลงไปแล้ว (Aftertaste ดีมาก) ที่สำคัญคือราคาครับ แก้วนี้ราคาเพียง 60-65 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ กาแฟคุณภาพระดับนี้ราคาอาจพุ่งไปถึงหลักร้อยได้สบายๆ

อีกเมนูที่อยากแนะนำสำหรับสายเข้มคือ อเมริกาโน่เย็น ที่นี่ทำออกมาได้ดีมาก ผมเลือกคั่วกลางเช่นเคย รสชาติออกมาสะอาด (Clean) สดชื่น มีความเปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆ ให้พอรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ไม่ขมไหม้บาดคอ ดื่มแล้วรู้เลยว่าเป็นกาแฟที่คั่วมาอย่างพิถีพิถัน หรือถ้าใครชอบความแปลกใหม่ ทางร้านก็มีเมนูซิกเนเจอร์อย่าง “กาแฟฟิวชั่นพีช” หรือ “Coconut Affogato” ที่นำไอศกรีมกะทิมาทานคู่กับเอสเพรสโซ่ช็อต เป็นการผสมผสานรสชาติไทยๆ เข้ากับกาแฟสากลได้อย่างน่าสนใจ

นอกจากเมนูกาแฟมาตรฐานแล้ว ที่นี่ยังมี Slow Bar สำหรับคอกาแฟดริปอีกด้วย คุณจะได้เห็นบาริสต้าบรรจงเทน้ำร้อนลงบนผงกาแฟอย่างใจเย็น ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ เมล็ดกาแฟสำหรับดริปก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งเมล็ดไทยและเมล็ดนอก ซึ่งบาริสต้าสามารถแนะนำ Tasting Note ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นรสโทนผลไม้ ดอกไม้ หรือถั่ว ชอบแบบไหนบอกเขาได้เลย เขาจัดให้ได้ตามคำขอ

ขนมและของว่าง: คู่เคียงที่ขาดไม่ได้

แน่นอนว่ากินกาแฟอย่างเดียวมันอาจจะเหงาปากไปหน่อย ทางร้านก็มีขนมเบเกอรี่ไว้บริการด้วยเช่นกัน เมนูที่โดดเด่นและหลายคนพูดถึงคือ Madeleine (มาเดอลีน) และ Canelé (คานาเล่) ขนมฝรั่งเศสชิ้นเล็กๆ ที่ทานคู่กับกาแฟได้ดี

จากที่ได้ลองชิม Madeleine ถือว่าทำได้ดีครับ เนื้อนุ่ม หอมเนย ทานตอนอุ่นๆ คู่กับกาแฟร้อนคือสวรรค์เลยทีเดียว ส่วน Canelé ผิวด้านนอกมีความกรอบนิดๆ ด้านในนุ่มหนึบ รสหวานกำลังดี แต่อาจจะไม่ถึงกับว้าวมากหากคุณเป็นสายกินขนมหวานตัวยง บางรีวิวอาจจะบอกว่าขนมบางอย่างอาจจะแห้งไปนิด หรือหวานไปหน่อย ซึ่งก็เป็นเรื่องนานาจิตตัง แต่โดยรวมถือว่าสอบผ่านในฐานะของว่างทานคู่กาแฟครับ

อ้อ! เกือบลืมบอกไปเรื่องหนึ่งที่น่ารักมากๆ ของร้านนี้ คือทุกออเดอร์กาแฟ เขาจะเสิร์ฟ ชาร้อนฟรี (Re-filled tea) มาให้หนึ่งกาเล็กๆ เสมอ เป็นชาจีนร้อนๆ ที่หอมละมุน ช่วยล้างปากก่อนดื่มกาแฟ

หรือจะจิบตบท้ายเพื่อความคล่องคอก็ดีงาม เป็นบริการเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงถึงน้ำใจไมตรีแบบคนเหนือ ทำให้เรารู้สึกว่าเขาไม่ได้แค่ขายกาแฟ แต่เขาขาย “ความสุข” ในการดื่มกินด้วย

การบริการและผู้คน: หัวใจสำคัญของ Agape

ชื่อร้าน “Agape” (อากาเป) นั้น เป็นภาษากรีกที่แปลว่า “ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” หรือความรักของพระเจ้า ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านบรรยากาศและการบริการของร้านได้อย่างชัดเจน เนื่องจากร้านนี้เจ้าของและพนักงานเป็นคริสเตียน

ภายในร้านจึงมีการเปิดเพลงบรรเลงแนวคริสเตียนคลอเบาๆ และมีข้อพระคัมภีร์ตกแต่งอยู่บ้างตามผนัง สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่สำหรับผม มันคือการแสดงตัวตนที่จริงใจและไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับทำให้รู้สึกสงบเสียด้วยซ้ำ

พนักงานที่นี่น่ารักและเป็นกันเองมาก ตั้งแต่น้องๆ ที่รับออเดอร์ไปจนถึงบาริสต้า ทุกคนดูมีความสุขกับการทำงาน ยิ้มแย้มแจ่มใส และมีความรู้เรื่องกาแฟจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่องจำมาตอบ ถ้าคุณสงสัยเรื่องเมล็ดกาแฟ หรืออยากรู้วิธีการชง พวกเขายินดีที่จะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดด้วยแววตาที่เป็นประกาย นี่คือเสน่ห์ของการเป็นธุรกิจครอบครัว (Family Business) ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อนมากกว่ามาร้านค้า

อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดในโลกที่สมบูรณ์แบบ Agape Coffee เองก็มีจุดที่อาจจะเป็นข้อสังเกตสำหรับบางคน เช่น เรื่องที่จอดรถที่ต้องอาศัยดวงและความสามารถในการจอดเทียบฟุตบาท หรือเรื่องการถอดรองเท้าก่อนเข้าร้านที่อาจจะไม่สะดวกสำหรับบางท่านที่ใส่รองเท้าผูกเชือกแน่นหนา

อีกประเด็นคือในบางช่วงเวลาที่ลูกค้าเยอะมากๆ การบริการอาจจะล่าช้าไปบ้าง หรือขนมบางอย่างที่อาจจะหมดเร็ว แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคุณภาพของกาแฟและความตั้งใจจริงของทางร้าน

บทสรุป: ทำไมต้องมา Agape Coffee?

ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ ว่าทำไมคุณถึงควรแวะมาที่ Agape Coffee คำตอบคือ “ความคุ้มค่า” และ “คุณภาพ” ครับ ในราคาแก้วละ 50-60 บาท คุณได้รับกาแฟเกรดพรีเมียมที่ผ่านการคัดเลือกและคั่วมาอย่างดี ได้นั่งในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สบายใจ และได้รับการบริการที่เป็นมิตรดุจญาติมิตร

Agape Coffee ไม่ใช่ร้านกาแฟที่หรูหราที่สุดในเชียงราย ไม่ใช่ร้านที่มีมุมถ่ายรูปเยอะที่สุดจนเมมโมรี่เต็ม แต่เป็นร้านที่มี “จิตวิญญาณ” ของกาแฟอยู่เต็มเปี่ยม เป็นร้านที่คุณสามารถนั่งละเลียดกาแฟแก้วโปรด ปล่อยใจไปกับบรรยากาศสงบๆ ฟังเสียงน้ำไหล และเติมพลังให้ชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม

สำหรับผม การมาร้านนี้เหมือนการได้มาพักผ่อนจริงๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องเก๊กท่าถ่ายรูป แค่นั่งลง สั่งกาแฟดีๆ สักแก้ว รับชาร้อนฟรีมาจิบ แล้วปล่อยให้เวลาเดินช้าลง… แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้วครับ

ข้อมูลสรุปสำหรับนักเดินทาง

  • ชื่อร้าน: Agape Coffee (อากาเป คอฟฟี่)
  • พิกัด: ถนนราชโยธา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (ใกล้กับแยกประตูเชียงใหม่)
  • เวลาเปิด-ปิด: 07:00 – 17:00 น. (หยุดวันอาทิตย์)
  • ที่จอดรถ: จอดริมถนนหน้าร้าน หรือฝั่งตรงข้าม
  • เมนูแนะนำ: ลาเต้ร้อน, อเมริกาโน่เย็น (เลือกคั่วกลาง), กาแฟดริป, ขนม Madeleine
  • ราคาโดยประมาณ: 60 – 120 บาท
  • จุดเด่น: กาแฟคุณภาพดีมากในราคาประหยัด, มีเมล็ดให้เลือกหลากหลาย, บริการชาร้อนฟรี, บรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง
  • Google Maps: https://maps.app.goo.gl/VjYMKDTDgV1874Ea9

ใครที่กำลังมองหาร้านกาแฟดีๆ ในตัวเมืองเชียงราย ที่รสชาติ “เอาอยู่” และราคา “น่าคบ” ผมขอยกให้ Agape Coffee เป็นหนึ่งในลิสต์ที่คุณไม่ควรพลาดครับ ลองแวะไปชิมดู แล้วคุณอาจจะหลงรัก “ความรัก” ในถ้วยกาแฟแก้วนี้

แชร์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *